Love —— สาระสำคัญ

เผลอทำร้ายสัตว์โดยไม่ได้ตั้งใจอยู่รึเปล่า?

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามนุษย์ทุกคนต่างต้องพึ่งพาสัตว์ในการดำรงชีวิต ไม่กินเนื้อสัตว์ เลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งาน หรือต่อให้ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแรก ก็อาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

แม้หลายครั้งเราจะรู้ดีว่าสิ่งที่เลือกกิน เลือกใช้ เป็นการใช้ประโยชน์จากสัตว์น้อยใหญ่ แต่อีกหลายครั้งเราก็ละเลยกระบวนการซึ่งการได้มาของสิ่งเหล่านั้นอยู่ดี จนกลายเป็นว่าเราเองก็มีส่วนสนับสนุนการทำร้ายสัตว์แบบอ้อมๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ ในทุกปีมีสัตว์ถูกนำไปทดลองเพื่อใช้ประโยชน์มากกว่า 100 ล้านตัว ไม่ว่าจะเป็น หนู กระต่าย หมา แมว กบ ลิง และอีกสารพัด คิดดูแล้วกันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีสัตว์เยอะแค่ไหนที่ต้องสละชีวิตเพื่อให้พวกเราปลอดภัย ปัญหาก็คือ การนำสัตว์มาใช้ในหลายๆ ครั้งเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น เช่น การฆ่าแบบผิดวิธีเพื่อใช้ในการศึกษาเล็กๆ น้อยๆ หรือการใช้สัตว์จำนวนมหาศาลเพื่อทดสอบสารเคมีแค่ชนิดเดียว จนสัตว์เหล่านั้นตาบอด ป่วยด้วยสารเคมี และอาจจะต้องตายในที่สุด 

ซึ่งเรื่องน่าเศร้ากว่านั้นก็คือ ไม่ใช่แค่ในห้องทดลองเท่านั้นที่มีสัตว์มากมายต้องทรมาน แต่ในวงการอื่นๆ ที่เราต้องพึ่งพิงเพื่อดำรงชีวิต ก็ยังมีสัตว์น้อยใหญ่ที่เราเผลอเอาเปรียบมันแบบไม่รู้ตัวอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ

ในชีวิตประจำวัน มีสัตว์ที่ต้องเจ็บปวดเพื่อเรามากมายแค่ไหนกัน

หากจะให้แยกย่อยว่ามีสัตว์กี่ชนิดที่ต้องยอมเจ็บปวด ทรมาน เพื่อให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น คงจะต้องร่ายกันยาวไปอีกหลายหมวดหมู่ เราเลยขอสรุปออกมาเป็น 4 หมวดหลักที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเรามากที่สุด

ยอมเจ็บตัวเป็นหนูทดลอง

ในหนังสั้นของเจ้ากระต่าย Ralph น่าจะพอทำให้ทุกคนเห็นภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับการใช้สัตว์เพื่อทดลองเครื่องสำอางกันบ้างแล้ว แต่นอกเหนือจากวงการความสวยความงาม ยังมีกระต่าย หนู หมา แมว และลิงอีกหลายล้านตัว ที่ถูกนำไปใช้ทดลองยาในวงการการแพทย์ สัตว์เหล่านี้มักโดนฉีดยาหรือสารเคมีเข้าไปซ้ำๆ เพื่อดูว่าพวกมันจะทนต่อสารเคมีได้มากขนาดไหน ยา หรือเครื่องสำอางพวกนี้จะไปส่งผลต่ออวัยวะส่วนใดหรือเปล่า ท้ายที่สุดมนุษย์จะได้มั่นใจว่าเครื่องใช้เหล่านี้จะไม่เป็นอันตรายต่อพวกเรา เพราะได้มีตัวตายตัวแทนทดสอบให้ไปแล้วยังไงล่ะ 

นี่กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอีกยกใหญ่ ว่าแล้วทำไมเราถึงต้องให้สัตว์มาทรมานแทนเราด้วย บ้างบอกว่ายังไงก็หลีกเลี่ยงการใช้สัตว์ไม่ได้หรอก ตราบใดที่เรายังต้องการความปลอดภัยสูงสุด บ้างก็บอกว่าบางอุตสาหกรรมมีการเลี้ยงสัตว์เพื่อทดลองโดยเฉพาะ บ้างก็ว่าเราต้องมีทางเลือกที่ดีกว่านี้สิ จนช่วงหลังมานี้ห้องทดลองบางแห่งได้เริ่มหันมาใช้เซลล์และสเต็มเซลล์ของอาสาสมัครมนุษย์ จำลองแทนอวัยวะต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นวิธีการล้ำสมัยที่ไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีก แต่วิธีนี้ก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาลเช่นกัน ดังนั้นเราก็คงต้องจับตาดูอนาคตของวงการห้องทดลองกันต่อไปอีกยาวๆ 

ยอมสละชีวิต โดนเลี้ยงอย่างทรมาน เพื่อเป็นอาหารแสนอร่อย

เมื่อพูดถึงสัตว์ที่ต้องยอมสละชีวิต อีกหนึ่งวงการใหญ่ที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือวงการอาหาร! เราคงไม่สามารถฟันธงได้หรอกว่าการกินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องผิดหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผิดแน่ๆ แล้วก็คือกระบวนการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มใหญ่ยักษ์ก่อนจะส่งมาถึงจานอาหารของเรานี่แหละ

อย่างที่รู้กันว่า ฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่หลายแห่ง มีวิธีการเลี้ยงสัตว์ที่แสนจะใจร้าย เน้นปริมาณมากไว้ก่อน ด้วยการสร้างคอกหมู คอกวัว เล้าเป็ด เล้าไก่ ที่สัตว์นับร้อยชีวิตต้องเบียดอยู่ด้วยกันในพื้นที่แออัด กระทั่งสัตว์เหล่านั้นไม่สามารถเดินหรือขยับตัวได้ ซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติของพวกมันสุดๆ การเลี้ยงด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยนี้ ส่งผลให้สัตว์ป่วยและเครียดง่าย สุดท้ายพวกมันจึงต้องรับสารเคมีมากเกินจำเป็นเพื่อรักษาโรคต่างๆ ดีไม่ดี ยังบวกไปกับสารเร่งโตเพื่อให้เนื้อสัตว์นุ่ม สีสวย ตัวใหญ่ ฟาร์มจะได้ขายเนื้อสัตว์ในปริมาณมากๆ ได้อีกด้วย

ไม่ใช่แค่สัตว์บกเท่านั้นนะ เพราะฟาร์มสัตว์ทะเลก็มีลักษณะการทำฟาร์มที่คล้ายคลึงกัน อย่างการเลี้ยงปลาที่ละมากๆ ป้อนสารเคมีเข้าไปเยอะๆ จนพวกมันตัวอวบอ้วน อึดอัด ว่ายน้ำไม่ได้ แต่น้อยคนนักจะพูดถึงผลเสียจากการทำฟาร์มสัตว์ทะเลในลักษณะนี้ เนื่องจากเหล่ากุ้ง หอย ปู ปลา ไม่สามารถแสดงสีหน้าท่าทางได้เท่ากับสัตว์บก ภาพความทุกข์ทรมานของพวกมันเลยไม่ค่อยถูกนำเสนอมากเท่าไหร่นัก

อาหารน่าอร่อยในจานของเราบางอย่างก็กำลังเป็นปัญหา ถึงจะไม่ได้มาจากฟาร์มแออัดน่าสงสาร แต่ก็มีวิธีการได้มาที่โหดร้ายพอกัน อย่างหูฉลามที่เมื่อตัดครีบเสร็จก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าฉลามทั้งตัว ฟัวกราส์ที่ได้มาจากการกรอกอาหารเป็ดปริมาณมากทางสายยางจนตับใหญ่กว่าปกติ หรือไข่ปลาคาเวียร์ ที่ได้มาจากการฆ่าปลาใกล้สูญพันธุ์อย่างปลาสเตอร์เจียนขาววัยใกล้พร้อมออกไข่ เพื่อนำไข่ของมันไปปรุงอาหารต่อ 

ยอมสละหนังและขนเป็นเสื้อผ้า

กระเป๋าหนังจระเข้ เสื้อขนเฟอร์ ผ้าพันคอขนมิงก์ เหล่านี้ถือเป็นสินค้าในวงการแฟชั่น ว่ากันว่าให้ความอบอุ่นระดับพรีเมียม แต่ก็แลกมาด้วยชีวิตของสัตว์จำนวนมาก แม้หลายครั้งจะมีการแย้งว่ากระบวนการเอาหนังหรือขนของพวกมันมาใช้จะได้มาด้วยวิธีการที่เป็นมิตร อย่างการโกนขนเฉยๆ หรือการใช้หนังสัตว์ที่นำส่วนอื่นๆ ไปใช้ประโยชน์ต่อด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมเครื่องหนังและขนสัตว์จำนวนมาก มีวิธีการตัดขนที่โหดร้ายและทารุณ เช่น การเลี้ยงสัตว์ในกรงแออัดทีละมากๆ เพื่อจับพวกมันมาตัดขนด้วยความรุนแรง จนเป็นแผลเหวอะหวะ ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็มี หรือจะเป็นการไปดักจับสัตว์ป่ามาเพื่อตัดขนพวกมันโดยเฉพาะ สุดท้ายเราจึงได้แต่ตั้งคำถามว่า การเลือกใส่เสื้อผ้าขนสัตว์นั้นเป็นไปเพื่อให้ความอบอุ่น หรือแค่ตอบสนองกลุ่มคนชื่นชอบแฟชั่นราคาแพงกันแน่นะ

ยอมเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกดูแลแบบทิ้งๆ ขว้างๆ

ปัญหาที่เรามักจะเจออยู่บ่อยๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ (หรือแม้แต่ในซอยแถวบ้าน) คือการที่หมาแมวจำนวนมากถูกทิ้งให้เป็นหมาแมวจรจัดเดินว่อนอยู่ริมทาง เนื่องจากเจ้าของไม่สามารถเลี้ยงดูน้องๆ เหล่านี้ได้ดีพอ จนต้องปล่อยพวกมันให้ออกมาหากินตามมีตามเกิด ส่งผลให้น้องๆ เจ็บป่วยและติดโรคจนอาจตายโดยไม่ได้รับการดูแล หลายครั้ง แม้เจ้าของจะไม่ได้มีแพลนส่งน้องๆ ออกไปใช้ชีวิตตามลำพัง แต่การเลี้ยงสัตว์บางชนิดด้วยการกักขัง ไม่ปล่อยให้ได้เดินวิ่ง เมื่อป่วยก็ไม่พาไปรักษา หรือปล่อยให้อยู่ผิดที่ผิดทางผิดธรรมชาติก็ใจร้ายไม่ต่างกันเลย

เพราะแบบนี้ไง แบรนด์ต่างๆ ถึงต้องมี Animal Welfare!

ด้วยเหตุที่สัตว์จำนวนมหาศาลกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างที่เราได้พูดไปแล้ว ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงมีแคมเปญออกมาเรียกร้องอยู่เรื่อยๆ ให้องค์กรต่างๆ ช่วยใจดีและแคร์สัตว์ที่พวกเขาใช้ประโยชน์กันมากขึ้นอีกหน่อย จนนำมาสู่สิ่งที่เรียกว่า Animal Welfare หรือการให้สวัสดิภาพแก่สัตว์ที่เราใช้ประโยชน์ในด้านใดก็ตาม เพื่อน้องๆ ทั้งหลายเหล่านี้จะได้มีความสุขกาย สบายใจไปตลอดช่วงชีวิต 

จุดเริ่มต้นของความแคร์ในระบบอุตสาหกรรมที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นเริ่มต้นอย่างจริงจังในประเทศอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1965 ก่อนจะมีการค่อยๆ พัฒนา หานิยามว่าหลักการใดจะเวิร์กและทำได้จริง จนเกิดเป็นหลัก ‘Five Freedoms’ ซึ่งถือเป็นหลักสากล กลายเป็นกฎหมายจริงจังในสหภาพยุโรป ขยายไปในหลายประเทศทั่วโลก 

หลัก Five Freedoms ถือเป็นหลักที่อุตสาหกรรมปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยง หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์โดยตรงสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ ในหลายๆ ประเทศจะมีใบรับรองให้ด้วยหากแบรนด์หรือองค์กรใดทำได้ดีตามมาตรฐานกำหนด ส่วนในธุรกิจอื่นๆ ที่อาจไม่ได้เลี้ยงสัตว์จริงจังหรือใช้ประโยชน์จากสัตว์ทางอ้อม ก็สามารถนำหลักการที่ว่าไปปรับใช้ได้โดยอิงกับเกณฑ์มาตรฐานเฉพาะที่องค์กรใหญ่ๆ กำหนดขึ้น เช่น cruelty free ในวงการความสวยความงาม หรือ welfur ในวงการแฟชั่น

  • Freedom from hunger and thirst มีสิทธิกินดื่มเมื่อหิว
  • Freedom from discomfort ได้อยู่ในที่สบายกายและใจ
  • Freedom from pain, injury and disease มีร่างกายแข็งแรง ได้รับการรักษาเมื่อป่วยไข้
  • Freedom from fear and distress ไม่ถูกทำให้กลัวและเครียด
  • Freedom to express normal behavior สามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้  

แล้วเราเองจะใจดีกับสัตว์ให้มากขึ้นได้ยังไงบ้าง

จริงๆ แล้วในฐานะคนธรรมดาที่ไม่ได้มีธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ยิ่งใหญ่อะไร เราเองก็สามารถนำหลัก five freedoms มาปรับใช้ได้เหมือนกัน เช่น ในกรณีที่เรามีสัตว์เลี้ยงที่บ้าน แต่ถ้านั่นยังดูไกลตัวไปหน่อยก็อย่าเพิ่งดูถูกพลังของตัวเอง เสียงของเรายังมีความหมายเสมอ ดูอย่างตอน #SaveRalph สิ หลายๆ คนก็หันมาตระหนักเรื่องเครื่องสำอางเป็นมิตรกับสัตว์มากขึ้นเยอะ เริ่มต้นได้ดีขนาดนี้ มาลองดูทางเลือกอื่นๆ กันอีกหน่อย ว่าเราจะเป็นมิตรกับเพื่อสัตว์ร่วมโลกยังไงได้อีกบ้าง

  • มองหาฉลากใจดีต่อสัตว์ ในการช้อปปิ้งครั้งต่อไป อย่าลืมมองหาสัญลักษณ์กระต่ายน้อย หรือสัญลักษณ์ Cruelty Free ที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อช่วยสนับสนุนแบรนด์ที่ไม่ทดลองกับสัตว์
  • คิดอีกนิดตอนเลือกซื้อ เลือกกิน ลองถามตัวเองอีกสักทีว่าอาหารหรือสิ่งของที่เราเลือกซื้อนั้นได้มาด้วยกรรมวิธีที่โหดร้ายต่อสัตว์น้อยใหญ่หรือเปล่า ถ้าคำตอบคือใช่ ลองหันไปหาตัวเลือกอื่นที่เป็นมิตรกว่าก็ได้นะ
  • ลองศึกษาที่มาที่ไปของสิ่งที่เราใช้ ถ้ายังไม่ค่อยแน่ใจว่าของที่เราเลือกซื้อนั้นเป็นมิตรต่อสัตว์โลกหรือเปล่า สัญลักษณ์อะไรก็ไม่มีบอก ลองเสิร์ชหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตดูก็ได้ เดี๋ยวนี้มีคนใจดีรวบรวมลิสต์ช่วยในการตัดสินใจเต็มไปหมดเลย
  • สนับสนุนแบรนด์ดีๆ แล้วบอกต่อเพื่อนๆ ด้วย เมื่อเจอแบรนด์ที่ว่าดีแล้ว อย่าลืมบอกเพื่อนๆ ให้มาช่วยกันสนับสนุน พวกเขาจะได้มีกำลังทรัพย์ทำสิ่งดีๆ ไปอีกนานๆ
  • เป็นมิตรกับสัตว์รอบตัวให้มากขึ้น เพราะทุกชีวิตสำคัญหมด อย่าลืมใจดีกับสัตว์ที่บ้าน หรือสัตว์ที่เราเจอ ให้ความช่วยเหลือยามน้องๆ เมื่อเจ็บป่วยเท่าที่เราจะช่วยได้
  • ดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ดี เมื่อตัดสินใจนำสัตว์มาเลี้ยงแล้ว อย่าละเลยพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระตามธรรมชาติ แม้ยามป่วยไข้ ไม่น่ารักเหมือนเคย ก็ต้องดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดนะ

เพราะไม่มีสัตว์ตัวไหนสมควรตายไปอย่างทรมาน เหมือนอย่างที่เจ้ากระต่าย Ralph บอกว่า No animal should die and suffer in the name of beauty. ไม่ใช่แค่ในอุตสาหกรรมความสวยความงามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงทุกๆ อุตสาหกรรมที่มีสัตว์เข้าไปเกี่ยวข้อง ในเมื่อเรายังมีตัวเลือกที่ดีกว่า และเป็นมิตรกว่าให้เลือกอีกเยอะแยะ ลองมาใจดีกับเพื่อสัตว์ร่วมโลกให้มากขึ้นอีกนิดกันนะ

Content Designer

#อดีตนิสิตภาควารสารฯ #เรียนจบแล้ว #นักเขียน

Graphic Designer

#กราฟิกดีไซเนอร์ #เป็นเด็กหญิงMoodyGirl #แต่ถ้าได้กินของอร่อยฟังเพลงเพราะนอนเต็มอิ่มจะจิตใจแจ่มใสและหัวใจพองโต

Read More:

Love มนุษยสัมพันธ์

เขาบอกว่า ศิลปะไม่ควรยุ่งกับการเมือง?

คุยกับ 4 ศิลปินรุ่นใหม่ที่ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือวาดหวัง

Love มนุษยสัมพันธ์

ทำไมต้องจ่ายภาษี แค่เกิดมามีประจำเดือน

คุยกับแก๊งนักศึกษาแพทย์จาก Scora Thailand เจ้าของแคมเปญเรียกร้องให้ยกเลิกภาษีผ้าอนามัย

Love ผลการทดลอง

แฮ็กชีวิตเฉาสิ้นปี ด้วยการ 'ใจดี' กับคนที่เราก็ไม่รู้ว่าใคร

MY RANDOM ACTS OF NO-SELFISHNESS