ของมันไม่ต้องมี 03: อยากแคร์สวยแต่ก็อยากแคร์สัตว์ด้วย!

ประเด็นแรกที่ต้องเลิกสับสนคือ vegan beauty ไม่เท่ากับ cruelty-free แม้จะแคร์สัตว์กันทั้งคู่ แต่เป้าหมายต่างกันแบบชัดเจน โดย vegan beauty จะต้องไม่มีส่วนผสมของสัตว์ ส่วน cruelty-free จะต้องไม่ทดลองกับสัตว์ นั่นแปลว่าถ้าวีแกนบิวตี้จะทดลองกับสัตว์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ผิดอะไร (และในทางกลับกันก็ด้วย) ถ้าคุณตั้งใจแคร์สัตว์แบบเต็มตัวแล้วล่ะก็ ต้องมองหาเครื่องยืนยันว่าโปรดักต์ที่คุณจะซื้อเป็นทั้ง vegan + cruelty-free ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้พลังงานในการศึกษาข้อมูลนิดนึง เพราะมันซับซ้อนและไม่ง่ายดายเหมือนซื้ออาหารวีแกน (ฮือ)

เรื่องยากที่สอง คือดีเทลของส่วนผสม เราอาจคิดว่า vegan beauty ต้องมีแค่ส่วนผสมจากพืช (plant-based) เท่านั้นสิ คำตอบคือผิด! แม้จะต้องไม่มีส่วนผสมจากสัตว์ยอดฮิต ได้แก่ honey (น้ำผึ้ง), beeswax (ขี้ผึ้ง), lanolin (ไขมันจากขนสัตว์), squalene (ไขมันจากฉลาม), carmine (ด้วงบด), gelatin (ไขกระดูกหมูหรือวัว), allantoin (ปัสสาวะวัว), ambergris (อาเจียนปลาวาฬ), placenta (อวัยวะแกะ) และใช้ส่วนผสมจากพืชเป็นส่วนใหญ่ แต่สารกันบูดบางชนิดในปริมาณซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่อันตรายก็เป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี (คำคม:เครื่องสำอางพืชก็บูดได้ เผลอๆ อาจง่ายกว่าด้วยซ้ำ)

แต่ในขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็มีช่องโหว่ให้บางแบรนด์มีข้ออ้างในการเติมส่วนผสมทางเคมีที่ไม่ปลอดภัยต่อร่างกายผสมปนเปลงไปแบบแนบเนียน ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะวีแกนหรือไม่ การพลิกหลังกล่องแล้วดูส่วนผสมให้เป็นคือสิ่งสำคัญอยู่ดี

ด่านสุดท้ายคือราคา เครื่องสำอางวีแกนไม่ได้จำเป็นต้องแพงหูฉี่เสมอไป เราอาจจะแพ้ภาพหรือคำโฆษณาของเหล่าแบรนด์ไฮเอนด์ต่างๆ แต่ก็ยังมองหาตัวเลือกที่ย่อมเยาได้ บางแบรนด์กลับเซอร์ไพรส์ด้วยซ้ำว่าเขาวีแกนด้วยเหรอนี่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อย่าลืมดูปัจจัยเรื่องผิวของคุณด้วยล่ะว่ามันไปด้วยกันกับสิ่งนี้ได้มากน้อยแค่ไหน ถ้าคำตอบสุดท้ายคือได้ เราก็เชียร์ให้คุณค่อยๆ เปลี่ยนมาเลือกวีแกนบิวตี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับการช่วยผลักกระแสหยุดทารุณสัตว์ และบอกธุรกิจยักษ์ใหญ่ให้เขารู้ว่า

“พวกเราต้องการให้วงการของพวกคุณน่ะ หันมาแคร์เพื่อนร่วมโลกแบบจริงๆ จังๆ กันเสียที”